ประวัติที่มาสุดขลัง “เหรียญรุ่นแรก ปี 2540 เทวดาเล่นดิน” ของหลวงปู่สรวง แห่งวัดไพรพัฒนาเมือง ศรีสะเกษ ” !

มาทางฝั่งจังหวัดศรีสะเกษซึ่งเป็นฝั่งอีสานใต้กันบ้าง และในวันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ ประวัติที่มาสุดขลัง “เหรียญรุ่นแรก ปี 2540 เทวดาเล่นดิน” ของหลวงปู่สรวง แห่งวัดไพรพัฒนา เมือง ศรีสะเกษ ” ! ซึ่งหลวงปู่สรวงนั้นท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมอย่างมากและท่านเป็นพระชาวกัมพูชาที่เหล่าบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทยให้ความเลื่อมใสและศรัทธาไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือชาวจังหวัดศรีสะเกษ และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในครั้งนี้เราจะพาคุณไปทราบถึงรายละเอียดที่น่าสนใจจากประวัติความเป็นมาของท่านกันเลยดีกว่า ประวัติหลวงปู่สรวง แห่งวัดไพรพัฒนา จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนอื่นเราจะพาคุณมารู้จักกับประวัติความเป็นมาของหลวงปู่สรวงกันเสียก่อน ซึ่งประวัติแท้จริงของท่านนั้นไม่มีใครทราบเนื่องจากท่านไม่ค่อยได้เล่าประวัติส่วนตัวของท่านให้ผู้ใดฟังมากนักจึงเป็นเพียงคำบอกเล่าแบบปากต่อปากเท่านั้นอีกทั้งหลายๆเรื่องราวยังคงเป็นปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้ แต่ในครั้งนี้พวกเราทีมงานสองพระก็รวบรวมเท่าที่ได้มาบอกเล่าให้คุณได้ฟังกันต่อในครั้งนี้ ว่ากันว่าหลวงปู่สรวงนั้นเดิมทีท่านเป็นชาวประเทศกัมพูชาหรือที่เรามักจะเรียกกันว่าชาวเขมร แล้วเดินทางมาอยู่ในประเทศไทยรวมถึงจำพรรษาที่วัดหลายแห่งในประเทศไทย และในคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แกบางคนก็บอกว่าท่านเป็นเจ้าจังหวัดศรีสะเกษโดยกำเนิด ซึ่งแท้จริงเป็นอย่างไรนั้นเรื่องราวนี้ก็ยังเป็นปริศนาที่ไม่มีใครทราบ แต่ที่ค่อนข้างแน่นอนก็คือชาวบ้านในยุคนั้นส่วนใหญ่มักจะเรียกท่านว่าลูกตาเบ๊าะ ซึ่งในภาษากัมพูชานั้นมีความหมายว่าพระดาบสที่เป็นผู้ทรงศีลที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาและตามถ้ำ) และสำหรับบางคนก็จะเรียกกันว่าลูกเอ็อวเบ๊าะ อุปนิสัยของหลวงปู่นั้นท่านค่อนข้างเป็นคนรักสันโดษและมักน้อย ถือสมถะและมีอุเบกขาสูงสุด โดยส่วนใหญ่แล้วท่านมักจะจำวัดอยู่ ณ สำนักสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านไพรบึงน้อย ซึ่งในปัจจุบันนั้นได้กลายเป็น “วัดไพรพัฒนา” ไปแล้ว รวมทั้งท่านยังมักอาศัยอยู่ตามกระท่อมปลายนาเล็กๆ โดยจะมีเพียงไม้กระดานสำหรับเพียงพอในการนอนเท่านั้นและทุกที่ที่หลวงปู่อยู่นั้นโดยส่วนใหญ่มักจะมีเสาไม้ที่ค่อนข้างสูงปักอยู่เสมอ และผู้คนมักจะสังเกตว่าจะมีเชือกสีขาวผูกเอาไว้ระหว่างกระท่อม และเมื่อลูกศิษย์ลูกหาที่ไปหาท่านก็มักจะพบว่ามีว่าวขนาดใหญ่ที่บุด้วยจีวร ซึ่งท่านจะทำเอาไว้เป็นสัญลักษณ์รวมถึงกระดาษแขวนต่างๆ และท่านมักจะให้ลูกศิษย์ช่วยก่อกองไฟเอาไว้ให้เสมอ ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ไปหาหรือนำของไปถวายท่านก็จะโยนของที่รับมาจากลูกศิษย์เข้าไปในกองไฟ ดังนั้นหากสังเกตเห็นว่ามีสิ่งของเหล่านี้อยู่นั่นหมายความว่าหลวงปู่ท่านเคยได้จำวัดหรือเคยอยู่ที่นี่มาก่อน ครั้งหนึ่งเจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนา ซึ่งก็คือหลวงพ่อพุฒ วายาโม (พระครูโกศลสิกขกิจ) ได้เล่าว่า หลวงปู่สรวงนั้นท่านเป็นพระที่มีอุปนิสัยรักสันโดษเมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านได้รับปัจจัยมาท่านก็มักจะไม่ติดและมักจะทำทานให้กับผู้ยากไร้อยู่เสมอ ในบางครั้งท่านก็นุ่งขาวห่มขาวและในบางครั้งท่านก็นุ่งห่มเหลือง ซึ่งชาวบ้านที่พบเห็นก็จะทราบกันดีว่านั่นคือเรื่องปกติของท่าน เนื่องจากท่านเป็นมหามุนีเทพดาบสที่บุคคลโดยทั่วๆไปมักจะเรียกกันว่าหลวงปู่และมีกิจปฏิบัติเหมือนกับพระสงฆ์ทั่วไป ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นเรียกได้ว่าหลวงปู่สรวงเป็นพระผู้มีความเมตตาและมักจะให้ทานแก่ชาวบ้านผู้ยากไร้อยู่เสมอท่านมรณภาพลงในช่วงปี 2543 […]
ประวัติความเป็นมา “ตะกรุดหนังหน้าผากเสือ ของหลวงปู่นาค แห่ง วัดอรุณ” เครื่องรางหายากที่ใครๆก็ใฝ่ฝัน !

หากมีใครถามถึงเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่นาคแห่งวัดอรุณนั้นแน่นอนว่าตะกรุดหนังหน้าผากเสือมักถูกเอ่ยถึงมาเป็นอันดับต้นๆ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้วันนี้เราได้รวบรวม ประวัติความเป็นมา “ตะกรุดหนังหน้าผากเสือ ของหลวงปู่นาค แห่ง วัดอรุณ” เครื่องรางหายากที่ใครๆก็ใฝ่ฝัน ! มาฝากคุณกันไว้ที่นี่เพราะแน่นอนว่าเราจะมาบอกถึงรายละเอียดที่น่าสนใจที่อาจไม่ค่อยมีใครทราบมากนัก มาเพื่อให้แฟนๆชาวสองพระได้ทราบกันในครั้งนี้ ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจ และรายละเอียดไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า ประวัติความเป็นมาของหลวงปู่นาค แห่ง วัดอรุณฯ จ. กรุงเทพมหานคร ก่อนอื่นเราจะพาคุณมาทราบถึงประวัติของหลวงปู่นาคแห่งวัชรอรุณในจังหวัดกรุงเทพมหานครกันก่อน ซึ่งเดิมทีนั้น ท่านมีชื่อว่านาค เดิมเป็นคนชาวจังหวัดปทุมธานีเป็นชาวบ้านที่ตำบลบางพูน ท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ. 2415 ซึ่งตรงกับวันขึ้นห้าค่ำเดือนยี่เป็นปีมะโรงและเกิดในวันที่ 3 มกราคม ในวัยเด็กหลวงปู่นาดได้มีโอกาสเล่าเรียนทางด้านหนังสือภาษาไทยกับครูฟ้อน ซึ่งท่านสามารถอ่านออกเขียนได้ต่อมาเมื่อท่านอายุได้ประมาณ 12 ปี ท่านก็ได้บวชเป็นสามเณรน้อยและอยู่กับเจ้าอธิการหว่าง ณ วัดสารพัดช่าง ซึ่งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร(ต่อมาภายหลังนั้นท่านได้มีสมณศักดิ์ว่าพระครูธรรมนานุสาลีแห่งวัดเทียนถวาย) หลวงปู่นาคได้เข้าสอบเป็นครั้งแรกในชีวิตช่วงปีพ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นปีที่ตรงกับปีขาล และสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค หลังจากนั้นไม่นานพระอาจารย์ของท่านก็ได้ฝากท่านกับสมเด็จพระวันรัต (แดง) แห่ง วัดสุทัศน์ฯ จากนั้นต่อมาเมื่อเติบโตขึ้นก็เข้าพิธีอุปสมบท บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ และพระผู้เป็นพระอุปประชาให้กับท่านก็คือสมเด็จพระวันรัต(แดง) แห่งวัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร และพระผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ก็คือหลวงพ่อหว่างแห่งวัดเทียนถวาย พิธีอุปสมบทของท่านเกิดขึ้นในช่วงปีพ.ศ. 2435 ตรงกับปีมะโรง เมื่อท่านได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วท่านก็มีความตั้งอกตั้งใจในการปฎิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดและมีวินัยอย่างมาก […]
ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อเอีย กิตติโก แห่งวัดบ้านด่าน เมืองปราจีนบุรี!

มาทางฝั่งจังหวัดปราจีนบุรีกันบ้างในครั้งนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อเอีย กิตติโก แห่งวัดบ้านด่าน เมืองปราจีนบุรี! ท่านคือลูกศิษย์สายตรงของหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า และแน่นอนว่าวัตถุมงคลต่างๆ ที่ท่านได้เคยสร้างเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันยังคงเป็นที่ถามถึงอยู่เสมอ ซึ่งในครั้งนี้เราจะพาท่านผู้อ่านที่ชื่นชอบพระเครื่องเป็นชีวิตจิตใจมาทราบถึงประวัติความเป็นมาของท่านพร้อมกับรู้จักวัตถุมงคลของท่านด้วยเช่นกัน และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปพบกับสาระที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ก็เลยดีกว่า ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อเอีย กิตติโก แห่งวัดบ้านด่าน เมืองปราจีนบุรี สำหรับพระครูสังวรกิตติคุณ หรือที่พวกเรามักจะรู้จักกันดีในนามหลวงพ่อเอีย กิตติโกนั้น เดิมทีท่านมีชื่อว่านาย เอีย ขยันคิด ท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ. 2448 ซึ่งตรงกับวันอังคารที่ 9 เดือนพฤษภาคม ท่านเป็นชาวจังหวัดปราจีนบุรีเกิดอยู่ที่บ้านด่านตำบลเกาะลอยและตั้งอยู่ในอำเภอประจันตคาม ท่านเป็นลูกชายของคุณพ่อเธียว กับคุณแม่มา ขยันคิด ซึ่งทั้งคุณแม่และคุณพ่อของหลวงพ่อท่านได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ท่านยังเด็กนัก ท่านเริ่มบวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุได้ประมาณ 17 ปีในช่วงปีพ.ศ. 2465 ซึ่งตรงกับวันที่8เดือนพฤษภาคม และเดิมทีนั้นท่านเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสต่อพระพุทธศาสนามากอยู่แล้ว รวมถึงชื่นชอบการศึกษาหาความรู้ทางธรรมอยู่เสมอ และหลังจากที่ได้บวชเป็นสามเณรก็ได้ทำให้ท่านมีโอกาสศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรมรวมถึงทางด้านวิชาต่างๆ และในเวลาต่อมาเมื่อท่านได้ทราบถึงชื่อเสียงของหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่าจังหวัดชัยนาท จึงทำให้ท่านตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปกราบนมัสการหลวงปู่ศุขเนื่องจากหลวงปู่ศุขนั้นท่านเป็นผู้ส่งวิทยาคมและค่อนข้างเป็นเลิศทางด้านกรรมฐานอย่างยิ่งรวมทั้งท่านมีภูมิธรรมที่สูงยิ่งนัก และเมื่อได้มีโอกาสไปกราบนมัสการท่านก็ได้ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์และได้ศึกษาทางด้านวิทยาคม รวมถึงด้านพระกรรมฐานกับหลวงปู่ศุข เมื่อถึงช่วงเข้าพรรษาก็ได้กลับมาจำวัดอยู่ที่วัดบ้านด่านซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของท่านตามเดิม ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สุข แห่ง วัดปากคลองมะขามเฒ่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านได้ฟังว่า พุทธาคมที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมานั้นท่านได้รับมาจากหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งในระยะที่ท่านศึกษาเล่าเรียนอยู่กับหลวงปู่ศุขนั้น มีบ่อยครั้งที่ท่านได้มีโอกาสเห็นกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ […]
ประวัติความเป็นมาของ พระครูสถิตสมณวัตร (หลวงพ่ออ่ำ พุทธสโร) วัดอินทราราม เมือง ชัยนาท!

มาทางจังหวัดชัยนาทกันบ้างซึ่งในครั้งนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ ประวัติความเป็นมาของ พระครูสถิตสมณวัตร (หลวงพ่ออ่ำ พุทธสโร) วัดอินทราราม เมือง ชัยนาท !ซึ่งท่านเป็นพระยุคเก่าผู้ส่งวิทยาคมอย่างมาก เป็นผู้มีอำนาจบารมีและมีสมาบัติเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวจังหวัดชัยนาททั้งในยุคก่อนและในยุคปัจจุบันไม่น้อย ซึ่งในครั้งนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมาของท่านไปพร้อมพร้อมกับได้นำวัตถุมงคลที่ผู้คนถามถึงอย่างมากของท่านมาให้คุณได้ทราบกัน ณ ที่นี้ ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจ พร้อมๆกันได้เลยดังต่อไปนี้ ประวัติความเป็นมาของ พระครูสถิตสมณวัตร (หลวงพ่ออ่ำ พุทธสโร) วัดอินทราราม จ.ชัยนาท สำหรับประวัติความเป็นมาของพระครูสถิตสมณวัตร หรือที่เรารู้จักกันในนามหลวงพ่ออ่ำ พุทธสโร เรียกได้ว่าท่านเป็นพระยุคเก่าเนื่องจากท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ. 2397 เดิมทีนั้นท่านเป็นชาวตำบลตลุกท่านเกิดอยู่ที่บ้านหนอง ท่านเป็นลูกชายของพ่อน้อย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นแทนก็ได้ฝึกฝนวิชาหมัดมวยรวมถึงทางด้านคาถาอาคมนอกจากนี้ท่านยังมีลูกน้องอยู่หลายคนด้วยเช่นกัน อุปสมบท ท่านบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์เมื่ออายุได้ครบบวช โดยคุณแม่ของท่านได้นำท่านไปฝากไว้กับหลวงพ่อเกิด แห่งวัดตลุก ท่านบวชในช่วงปีพ.ศ. 2417 ซึ่งท่านมีความตั้งใจว่าต้องการจะบวชทดแทนบุญคุณบิดามารดาเพียงแค่ประมาณ 15 หรือ 20 วันเท่านั้นแต่หลังจาก 20 วันแล้วท่านกลับไม่ยอมสึก ด้วยความซาบซึ้งกับทางด้านพระธรรมท่านจึงบวชต่อและมุ่งเรียนทางด้านวิชาแพทย์แผนโบราณต่อจากนั้นท่านก็ได้เดินทางมายังจังหวัดนครราชสีมาหรือเมืองโคราช เหตุผลที่มาในจังหวัดแห่งนี้เนื่องจากท่านทราบว่ามีอาจารย์ดีอยู่หลายท่านที่มีความชำนาญเกี่ยวกับการรักษาโรคจากรากไม้และสมุนไพรไทย ดังนั้นท่านก็ได้เดินทางไปหาครูหมอยาซึ่งเป็นคฤหัสถ์ เมื่อไปถึงบ้านครูลูกสาวของครูก็ได้นำภัตตาหารมาถวาย เมนูนั้นก็คือเนื้อทอดหนึ่งจาน ซึ่งเจ้าของบ้านได้ใช้เวทมนต์เพื่อทำให้เมนูนั้นเป็นเนื้อทอดจึงทำให้หลวงพ่อท่านไม่ยอมฉัน จากนั้นหลวงพ่อท่านก็ได้ขายเวทมนต์ออกปรากฏว่าเนื้อทอดที่นำมาถวายเป็นภัตตาหารนั้นกลับกลายเป็นเศษไม้ จึงทำให้เจ้าของบ้านนั้นชื่นชมว่าท่านสามารถแก้บนต่างๆได้และด้วยเหตุนี้จึงยอมถ่ายทอดวิชาต่างๆให้ แต่มีข้อแม้ว่าหลวงพ่อต้องสึกออกมาเป็นฆราวาสเสียก่อน จึงให้หลวงพ่อจำเป็นต้องสึกออกมาเป็นระยะเวลาประมาณหกเดือนเพื่อศึกษาวิชาทางแพทย์พร้อมกับวิทยาคมต่างๆกับครูหมอ ก่อนที่จะกลับไปบวชใหม่และหลังจากนั้นหลวงพ่อท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปยังชายแดนไทยกัมพูชาโดยใช้เวลาประมาณหกถึงเจ็ดปีก่อนที่จะกลับไปยังวัดตลุก ถัดมาอีกช่วงเวลาหลายปีหลวงพ่อเกิดท่านได้มรณภาพลงจึงทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างและหลวงพ่ออ่ำ ท่านก็ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อ […]
ประวัติ “ พระครูวิมลศีลาจารย์” (หลวงพ่อเส็ง พุทธปาลิโต) แห่ง วัดประจันตคาม ผู้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวปราจีนบุรี!

หลวงพ่อเส็ง พุทธปาลิโตหรือพระครูวิมลศีลาจารย์นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ที่ค่อนข้างเป็นที่เคารพบูชาของชาวจังหวัดปราจีนบุรีอย่างมากและในครั้งนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ ประวัติ พระครูวิมลศีลาจารย์” (หลวงพ่อเส็ง พุทธปาลิโต) แห่ง วัดประจันตคาม ผู้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวปราจีนบุรี ! ซึ่งจะมาบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของท่านให้คุณได้ทราบกันแบบคราวพร้อมกับวัตถุมงคลของท่านที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาพบกับสาระที่น่าสนใจไปพร้อมๆกันได้เลยดังต่อไปนี้ค่ะ ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อสิงห์ พุทธปาลิโต สำหรับหลวงพ่อเส็งนั้นท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ. 2440 ในวันที่ 19 เดือนมกราคมซึ่งเป็นวันพุธแรม 13 ค่ำ ปีระกาเดือนสอง ท่านเกิดอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ณ บ้านเมืองใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอประจันตคาม ท่านเป็นลูกชายของคุณปราบพลการ(เคน) กับคุณแม่ทองศรี ระวังป่า ท่านอุปสมบทในช่วงปีพ.ศ. 2460 ซึ่งตรงกับวันที่ 24 เดือนพฤษภาคมท่านบวชอยู่ที่วัดทัพช้างซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งพระผู้เป็นพระอุปประชาให้กับท่านก็คือพระครูพิพัฒน์ปัจจันตเขต (หลวงปู่สิงห์) และเป็นพระอาจารย์คนแรกของท่านนอกจากนี้ท่านยังได้รับฉายาทางธรรมว่า “พุทฺธปาลิโต” นอกจากท่านจะเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สิงห์แล้วท่านยังเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปุ๊กแห่งวัดพระยาทำ ซึ่งอยู่ในอำเภอกบินทร์บุรีอีกด้วย หลังจากที่ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมมาวินัยไปด้วยถัดมาในช่วงปีพ.ศ. 2475 หลวงพ่อท่านก็สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย แต่ท่านสามารถผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดีและทำสำเร็จ หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปยังวัดท่าเรือและย้ายไปเป็นครูสอนทางด้านพระปริยัติธรรม และต่อมาท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสและเป็นพระปลัดวิมลในช่วงปีพ.ศ. 2480 ถัดมาในช่วงปีพ.ศ. 2482 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์ ตามด้วยตำแหน่งเจ้าคณะตำบลประจันตคาม […]
ประวัติความเป็นมาของ “พระธรรมมุนี” (หลวงพ่อแพ เขมังกโร) วัดพิกุลทอง เมือง สิงห์บุรี !

หากมีใครเอ่ยถามถึงพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในเมืองสิงห์บุรี โดยเฉพาะในช่วงยุคก่อนหรือที่เราเรียกกันว่าพระยุคเก่าซึ่งเป็นพระยุคก่อนปี 2500 นั้น เชื่อว่าหลวงพ่อแพจะต้องติดอันดับแรกๆของรายชื่อพระเกจิ ที่เราจะนึกถึงกันอย่างแน่นอนในวันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ ประวัติความเป็นมาของ “พระธรรมมุนี” (หลวงพ่อแพ เขมังกโร) วัดพิกุลทอง เมือง สิงห์บุรี ! ซึ่งแน่นอนว่าเราจะมาบอกถึงประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของท่าน รวมถึงได้นำคุณงามความดีและผลงานต่างๆที่ท่านได้สร้างไว้ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันในครั้งนี้อีกด้วย ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราจะพาคุณไปพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจนี้กันเลย ประวัติความเป็นมาของ พระธรรมมุนี หรือ หลวงพ่อแพ เขมังกโร แห่งวัดพิกุลทอง เมืองสิงห์บุรี สำหรับพระธรรมมุนีหรือที่เราหลายคนมักจะเรียกท่านกันว่าหลวงพ่อแพ เขมังกโร นั้นเดิมทีท่านมีชื่อว่านาย “แพ ใจมั่นคง” ถ้าเกิดในช่วงปีพ.ศ. 2448 ซึ่งตรงกับวันที่หนึ่งเดือนมกราคม เป็นวันจันทร์ตรงกับขึ้นสองค่ำเดือนยี่ ซึ่งในปีนั้นเป็นปีมะเส็ง ท่านเป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรีโดยกำเนิดท่านเกิดที่บ้านสวนกล้วยซึ่งตั้งอยู่ในตำบลพิกุลทอง ของอำเภอท่าช้าง ท่านเป็นลูกชายของคุณพ่อเทียนและคุณแม่หน่าย ใจมั่นคง วัยเยาว์ของหลวงพ่อแพ ตามข้อมูลที่ได้ระบุเอาไว้ช่วงเวลาที่หลวงพ่อแพท่านอายุได้ประมาณแปดเดือน คุณแม่ของหลวงพ่อท่านได้เสียชีวิตลง จึงทำให้หลังจากนั้นอาของหลวงพ่อซึ่งมีชื่อว่าอาบุญ และอาเพียร ขำวิบูลย์ (อาสะใภ้) ได้อุปการะท่านให้เป็นลูกบุญธรรม เมื่อเลี้ยงดูจนหลวงพ่อแพท่านมีอายุได้ประมาณ 11 ปี พ่อแม่บุญธรรมของหลวงพ่อแพ ก็นำท่านไปฝากไว้ที่สำนักอาจารย์ป้อม เพื่อให้ท่านได้มีโอกาสเล่าเรียนหนังสือ เนื่องจากในยุคนั้นจำเป็นจะต้องเรียนที่วัดหรือเรียนกับสำนักเท่านั้น ซึ่งเป็นโอกาสที่ทำให้ท่านได้เรียนด้านภาษาขอมและภาษาไทยไปพร้อมๆกัน อีกทั้งยังได้เรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจ […]
ประวัติความเป็นมาและปฏิปทาของ “หลวงปู่เม้า ลิ้นดำ” แห่ง วัดสี่เหลี่ยม พระเกจิอาจารย์ที่ชาวบุรีรัมย์นับถือ!

มาทางฝั่งอำเภอนางรองของจังหวัดบุรีรัมย์กันบ้าง ซึ่งพระเกจิอาจารย์ที่เราจะพาคุณมารู้จักในวันนี้ก็คือหลวงปู่เม้าท์ ลิ้นดำ ในหัวข้อ ประวัติความเป็นมาและปฏิปทาของ “หลวงปู่เม้า ลิ้นดำ” แห่ง วัดสี่เหลี่ยม พระเกจิอาจารย์ที่ชาวบุรีรัมย์นับถือ! ซึ่งแน่นอนว่าเราจะมาบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของหลวงปู่เม้าท์แห่งวัดสี่เหลี่ยมให้คุณได้ทราบซึ่งหลวงปู่เม้าท์นั้นท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีอายุยืนถึง 102 ปี ท่านเป็นอีกหนึ่งพระเกจิอาจารย์ทางฝั่งอีสานใต้ ที่มีผู้คนเคารพนับถืออย่างมากโดยเฉพาะชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ท่านเป็นผู้ทรงวิทยาคมและมีบารมีแก่กล้า อีกทั้งยังเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราจะพาคุณมาทราบถึงเรื่องราวที่น่าสนใจของท่านพร้อมๆกันดังต่อไปนี้ ประวัติความเป็นมาหลวงปู่เม้าท์ พลวิริโย (ลิ้นดำ) แห่งวัดสี่เหลี่ยม อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ สำหรับหลวงปู่เม้าท์นั้นท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ. 2417 จึงถือได้ว่าท่านเป็นพระยุคเก่าซึ่งท่านเกิดในวันที่ 23 เดือนพฤษภาคม ในวัยเยาว์นั้นท่านได้บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ประมาณ 13 ปีซึ่งตรงกับช่วงปีพ.ศ. 2430 และหลังจากนั้นท่านก็ได้เข้าพิธีอุปสมบทเพื่อบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์เมื่ออายุได้ครบบวช ซึ่งพระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับท่าน ก็คือหลวงพ่อเพียรแห่งวัดถนนหัก และได้รับฉายาทางธรรมว่า “พลวิริโย” ท่านเป็นพระโปรแกรมขัดต่อการปฎิบัติอย่างมากและถือการเดินธุดงควัตรอยู่เสมอท่านมักจะออกเดินทาง และเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภาคอีสานหรือสถานที่อื่นๆ ซึ่งท่านเดินทางในแถบภาคอีสานใช้เวลาค่อนข้างหลาย 10 ปีเลยทีเดียว หลวงปู่เม้าท์ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในยุคนี้มาโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาที่ท่านสำเร็จและค่อนข้างเชี่ยวชาญก็คือวิปัสสนากรรมฐาน ถึงขั้นมีพูดยกย่องให้ท่านเป็นยอดในวิชาวิปัสสนากรรมฐานเลยทีเดียว ที่ท่านได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์เพียร ซึ่งพระอาจารย์ท่านนี้ก็คือพระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับท่านนั่นเอง และหลังจากที่ร่ำเรียนกับตราสารเพี้ยนแล้วท่านยังได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์นิล, พระอาจารย์เสาร์, พระอาจารย์ดา พระอาจารย์ครุต และพระจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย อุปนิสัยส่วนตัวของหลวงปู่เม้าท์นั้นท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติที่พูดน้อยและมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ในปากของท่านนั้นจะมีลิ้น เป็นสีดำจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนมักจะเรียกกันว่าหลวงปู่เม้าท์ลิ้นดำ […]
ประวัติความเป็นมาของพระเกจิอาจารย์ที่สูงที่สุดในโลก หลวงพ่อประสิทธิ์ ปสิทฺธิโก หรือ หลวงพ่อสูง วัดหนองผักชี !

หากมีใครตั้งคำถามขึ้นมาว่าพระท่านใดตัวสูงที่สุดในโลก เชื่อว่าผู้คนที่รู้จักจะต้องยกมือขึ้นต่อว่าเป็นหลวงพ่อสูงแห่งวัดหนองผักชีกันอย่างแน่นอน และก็มีความเชื่อเช่นกันว่าอาจมีใครอีกหลายคนที่ไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน สำหรับวันนี้เราจะพาคุณมาทราบ ประวัติความเป็นมาของพระเกจิอาจารย์ที่สูงที่สุดในโลก หลวงพ่อประสิทธิ์ ปสิทฺธิโก หรือ หลวงพ่อสูง วัดหนองผักชี ! ซึ่งแน่นอนว่าเราจะพาคุณมารู้จักกับหลวงพ่อสูงพร้อมกับทราบถึงประวัติความเป็นมาและผลงานของท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจดังต่อไปนี้กันเลยดีกว่า ประวัติหลวงพ่อสูง วัดหนองผักชี เขตสายไหม จังหวัดกรุงเทพฯ สำหรับหลวงพ่อประสิทธิ์ ปสิทฺธิโก แห่ง วัดราษฎร์นิยมธรรม(หรือที่ใครหลายคนมักจะเรียกกันว่าวัดหนองผักชีในครั้งอดีต) นั้นใครหลายคนมักจะรู้จักกันดีในนามของหลวงพ่อสูง เนื่องจากรูปร่างที่ใหญ่โตซึ่งท่านมีความสูงมากกว่าผู้คนปกติ ท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงทางด้านแก้คุณไสย และท่านเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตามีเมตตาธรรมสูงอีกทั้งยังชอบช่วยเหลือผู้คนที่มาขอความช่วยเหลือ โดยเฉพาะสำหรับใครที่โดนคุณไสยก็มักจะไปให้หลวงพ่อท่านช่วยรักษา พระครูวรเวทวิศิษฏ์ หรือหลวงพ่อประสิทธิ์ และอีกหนึ่งชื่อที่ผู้คนมักจะเรียกกันว่าหลวงพ่อสูงนั้น ท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ 2493 ซึ่งตรงกับวันที่ 9 เดือนกันยายน มีนามสกุลว่า กลิ่นจันทร์ ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกันถึง 7 คนซึ่งท่านเป็นลูกชายคนที่ 2 ของคุณพ่อและคุณแม่ โดยปกติแล้วร่างกายของท่านก็เจริญเติบโตไปตามวัยปกติจนกระทั่งเมื่อท่านมีอายุได้ย่างเข้า 16 ปี ก็ได้ทราบว่าร่างกายของท่านเริ่มผิดปกติ และแปลกไปจากเพื่อนๆรุ่นเดียวกันคือความสูงที่เจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงและสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างเหลือเชื่อ จึงเป็นเหตุทำให้ทางบ้านพาท่านไปพบแพทย์และจากการตรวจสอบร่างกาย คุณพ่อและคุณแม่ของท่านจึงเกรงว่าความสุขนี้อาจเป็นอันตราย กลัวโรคภัยต่างๆจะมาเยือนจึงทำให้คุณหมอช่วยตรวจอย่างละเอียด จากนั้นแพทย์ก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเกิดจากต่อมฮอร์โมนบางชนิดที่ทำงานผิดปกติ แต่ก็ไม่ส่งผลอันตรายหรือทำให้เกิดพิษภัยใดต่อร่างกาย แต่ในส่วนของร่างกายที่เจริญเติบโตและสูงผิดปกตินั้นก็มีความสมบูรณ์ทุกอย่างไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยใด สำหรับความสูงของท่านคือ 2.32 เมตร […]
ประวัติความเป็นมาของ พระเกจิชื่อดังแห่งวัดตะโก เมืองกรุงเก่า “หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก” !

สำหรับหลวงพ่อรวย ปาสาทิโก นั้นท่านได้มรณภาพลงในช่วงปี 2560 ที่หากนับเวลาก็ไม่นานมานี้ และเรายังเชื่อว่าถึงแม้ว่าท่านจะมรณะภาพไปแล้ว แต่ยังคงมีลูกศิษย์ลูกหาที่ยังคงเคารพศรัทธาท่านและระลึกถึงอย่างมีเสื่อ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้วันนี้เราจะพาคุณมาทราบถึง ประวัติความเป็นมาของ พระเกจิชื่อดัง แห่งวัดตะโก เมืองกรุงเก่า “หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก” ! ที่จะมาบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาแบบคร่าวๆของท่านให้คุณได้ทราบกัน ณ ที่นี้ และหากคุณเป็นหนึ่งคนที่เคารพศรัทธาหลวงพ่อรวยและต้องการทราบถึงประวัติความเป็นมาของท่านต้องอย่ารอช้าค่ะเราไปพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจพร้อมๆกันได้เลยดังต่อไปนี้ ประวัติความเป็นมาของ พ่อรวย ปาสาทิโก แห่งวัดตะโก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับท่านเจ้าคุณ พระมงคลสิทธาจารย์หรือที่เรามักจะรู้จักกันในนาม หลวงพ่อรวยนั้น อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ท่านเป็นพระนักปฏิบัติผู้มีจริยวัตรอันงดงามมีความเมตตาธรรมสูงและถึงแม้ว่าท่านจะได้เสียชีวิตมรณภาพลงไปแล้วแต่ยังคงมีลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยมที่เคารพศรัทธาท่านระลึกถึงท่านอยู่เสมออย่างไม่เสื่อมคลาย หลวงพ่อรวยท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ 2464 วันที่ 9 เดือนธันวาคม เดิมทีท่านเป็นชาจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเกิดที่บ้านตะโก จึงตั้งอยู่ในตำบลดอนหญ้านางของอำเภอภาชีที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นลูกชายของคุณพ่อมีและคุณแม่สินลา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 8 คน บรรพบุรุษทางคุณพ่อของหลวงพ่อรวยนั้นเดิมทีท่านเป็นชาวกรุงศรีสัตตนาคนหุต ซึ่งเป็นอาณาจักรล้านช้างแต่เดิม เมื่อท่านอายุได้ประมาณ 12 ปี ท่านก็ได้มีโอกาสไปเรียนอยู่ที่วัดตะโก ซึ่งในสมัยโบราณการที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนก็ย่อมเกิดขึ้นที่วัด จึงทำให้เด็กๆส่วนใหญ่มักจะบวชเป็นสามเณรเพื่อศึกษาเล่าเรียน หรือหากใครจะไม่บวชเป็นสามเณรก็สามารถไปเรียนได้เช่นกัน ซึ่งวัดตะโกตั้งอยู่ในพื้นที่ละแวกตำบลหญ้านาง ในขณะนั้นไม่ได้มีโรงเรียนชั้นประถม จึงทำให้หลวงพ่อรวยท่านจึงต้องไปเรียนกับพระภิกษุอยู่บนศาลาการเปรียญ ต่อมาเมื่อมีอายุได้ประมาณ 16 ปี […]
ประวัติความเป็นมา “หลวงปู่นาค แห่ง วัดระฆังโฆสิตาราม จ.กรุงเทพฯ” !

หากมีใครเอ่ยถึงหลวงปู่นาคแห่งวัดระฆังโฆสิตารามจังหวัดกรุงเทพฯนี้ เชื่อว่าใครหลายคนคงจะต้องนึกถึงพระเครื่องของท่านขึ้นมาอย่างแน่นอน และหนึ่งในนั้นก็คือพระสมเด็จ ที่ใครหลายคนก็ต่างใฝ่ฝันอยากได้หรือมีไว้ในบูชาครอบครอง ในครั้งนี้เราจะพาคุณมาทราบถึง ประวัติความเป็นมา “หลวงปู่นาค แห่ง วัดระฆังโฆสิตาราม จ.กรุงเทพฯ” ! พร้อมกับจะมาบอกเล่าถึงวัตถุมงคลของหลวงปู่นาคที่ท่านได้สร้างเอาไว้ตั้งแต่ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจกันเลยดีกว่า ประวัติความเป็นมาของหลวงปู่นาค วัดระฆัง จังหวัดกรุงเทพมหานคร สำหรับประวัติของ พระเทพสิทธินายก อยู่ที่คนรุ่นหลังมักจะรู้จักกันในนามของหลวงปู่นาค (โสภโณ )นั้นท่านเป็นลูกหลานของสมเด็จวัดระฆังมีเชื้อสายโดยตรง และท่านได้สืบทอดวิชาการสร้างพระมาจากสมเด็จพุฒาจารย์โตพรหมรังษี โดยตรงด้วยเช่นกัน เดิมทีนั้นหลวงปู่นาคท่านมีชื่อว่า นายนาค มะเริงสิทธิ์ ท่านเป็นชาวจังหวัดนครราชสีมาเป็นคนโคราชเกิดที่บ้านปราสาทซึ่งตั้งอยู่ในตำบลจันทร์อัด ท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ 2427 ตรงกับวันที่ 1 เดือนสิงหาคมท่านเป็นผู้ที่เกิดวันศุกร์ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำเดือน 9 และปีนั้นตรงกับปีวอก คุณปู่ของหลวงปู่นาคนั้น คือขุนประสิทธิ์ (อยู่) ท่านเป็นนายอากรแห่งเมืองโคราช ส่วนคุณย่าของหลวงปู่นาคนั้นชื่อว่าคุณย่าฉิมมะเริงสิทธิ์ และหลวงปู่นาคท่านเป็นบุตรของนายป้อมกับนางสงวนนามสกุลมะเริงสิทธิ์ มีพี่น้องร่วมสายเลือดทั้งหมด 4 คน(รวมหลวงปู่นาคด้วย) หลวงปู่นาคนั้นเป็นลูกชายคนโตของคุณพ่อ และมีน้องอีก 3 คน น้องชายของหลวงปู่นาคก็เป็นพระเช่นกันมีนามว่า พระภิกษุโชติ มะเริงสิทธิ์ และท่านก็มีน้องสาวชื่อว่านางทุเรียน ปภาวดี […]