หากมีใครถามถึงพระเกจิอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านสักยันต์หนุมานแห่งเมืองเพชรบุรี เชื่อว่าใครหลายคนคงจะต้องนึกถึงชื่อของหลวงพ่อแล วัดพระทรง ขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆอย่างแน่นอน และในครั้งนี้เราจะพาคุณมาทราบถึง ประวัติความเป็นมาของพระเกจิอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสักยันต์หนุมาน “หลวงพ่อแล ทิตัพโพ” วัดพระทรง แห่งเมืองเพชรบุรี ! รวมทั้งจะมาบอกเล่าถึงวัตถุมงคลยอดนิยมของท่านที่ผู้คนยังคงถามหากันเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน ดังนั้นหากอยากทราบกันแล้วว่าสาระน่ารู้ในครั้งนี้ จะมีรายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง ต้องอย่ารอช้าค่ะเราไปพบกับสิ่งที่น่าสนใจพร้อมๆกันได้เลยดังต่อไปนี้
ประวัติที่มาของ “หลวงพ่อแล ทิตัพโพ”
วัดพระทรง แห่งเมืองเพชรบุรี
สำหรับหลวงพ่อแล ทิตัพโพ เชื่อว่าใครหลายคนโดยเฉพาะสายบู๊จะต้องคุ้นหูกันดีในนามของท่าน เนื่องจากท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในเรื่องของการสักยันต์หนุมาน และวิชาอาคมทางด้านอยู่ยงคงกระพัน หลวงพ่อแลนั้นเดิมทีท่านมีชื่อว่า แล วาดวงศ์ ท่านเป็นชาวจังหวัดเพชรบุรีโดยกำเนิดท่านเกิดอยู่ที่อำเภอบ้านลาด ที่ตำบลไร่มะขาม ณ บ้านไร่สัตว์ หลวงพ่อท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ 2459 ตรงกับวันที่ 19 เดือนกรกฎาคม ท่านเป็นบุตรชายคนสุดท้องของคุณพ่ออยู่กับคุณแม่ทอง วาดวงศ์ ท่านมีพี่น้องรวมทั้งหมด 7 คน (รวมตัวท่าน)
เมื่อหลวงพ่อแลอายุได้ประมาณ 14 ปีท่านก็ได้บวชเป็นสามเณรอยู่ ณ วัดบ้านเกิด และเมื่ออายุครบบวชท่านก็เข้าพิธีบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์อย่างเต็มตัว ณ วัดหนองไม้เหลือง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเพชรบุรี ท่านบวชในช่วงปีพ.ศ 2497 ในวันที่ 24 เดือนมิถุนายน ซึ่งพระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อใหม่แห่งวัดเขาทะโมน พระผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อยอด แห่งวัดหนองไม้หลือง และสำหรับพระผู้เป็นพระอนุสาวนาจารย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อเพลินแห่งวัดหนองไม้เหลือง สำหรับฉายาทางธรรมของหลวงพ่อแลก็คือ “ทิตฺตพฺโพ”
เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ท่านก็ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ กับพระอาจารย์ของท่านซึ่งก็คือหลวงพ่อเพลินแห่งวัดหนองไม้เหลือง จากนั้นก็ได้ย้ายมาจำวัดที่วัดพระทรง ในช่วงปีพ.ศ 2498 หลวงพ่อแลท่านเป็นผู้มีความเคร่งครัดต่อการปฏิบัติและรับธรรมวินัยอย่างมาก อีกทั้งยังมีความชื่นชอบและสนใจในเรื่องของการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ท่านเป็นผู้เสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอเพราะท่านเชื่อว่ายิ่งเรียนมากก็จะยิ่งมีคุณประโยชน์ อีกทั้งวิชาความรู้นั้นไม่มีวันสูญสลาย
ซึ่งท่านมีพระอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆให้กับท่านอยู่ในจังหวัดเพชรบุรีมากถึง 7 ท่าน เริ่มต้นด้วยการเรียนกับพระอาจารย์ของท่านซึ่งก็คือหลวงพ่อเพลินแห่งวัดหนองไม้เหลือง ตามด้วยวิชาถอนพิษแมลงต่างๆกับหลวงพ่อทองสุข แห่งวัดโตนดหลวง ซึ่งอยู่ในอำเภอท่ายาง ทั้งยังได้มีโอกาสศึกษาทางด้านวิชาสักยันต์ครู ซึ่งวิชานี้ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นยันต์สูงสุดของการสักยันต์ซึ่งเป็นยันต์แรกที่ พี่มันก็ถูกเรียกว่า “หัวใจพระราม” ยันต์นี้จะเป็นยันต์ที่คอยควบคุมยันต่างๆ อันได้แก่ ยันต์พญาหงส์เงินยันต์พญาหงษ์ทอง, ยันต์หนุมาน, ยันต์ลิงลมเป็นต้น
หลังจากที่ร่ำเรียนวิชาสักยันต์แล้วท่านก็ได้มาพบกับหลวงพ่อชิต แห่งวัดมหาธาตุวรวิหาร และได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับหลวงพ่อท่าน ท่านได้ศึกษาทางด้านโหราศาสตร์กับหลวงพ่อชิตอีกทั้งยังได้ศึกษาในเรื่องพระขรรค์จากหลวงพ่อสุขแห่งวัดปากคลองซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอบ้านแหลม อีกทั้งท่านยังได้ร่ำเรียนกับหลวงพ่อผันแห่งวัดมหาธาตุวรวิหารทางด้านวิชาตะกรุดโทนและตะกรุด นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาจากคุณข้อต่อและคุณพ่อจันทร์ทางด้านการฝักตัวมาหาเมฆ
ซึ่งคุณพ่อทั้งสองท่านนี้เป็นสิทธิ์ของพระครูสันต์แห่งวัดเขาวังซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเพชรบุรี (พระครูสันต์นั้นท่านเป็นพระเถราจารย์ในยุคสมัยของรัชกาลที่ 5 ) ซึ่งถึงแม้ว่าหลวงพ่อแลนั้นทันจะศึกษาเล่าเรียนอย่างมากมาย ท่านก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายหรือย่อท้อแต่อย่างใด เพราะท่านชอบที่จะแสวงหาความรู้ติดตนอยู่เสมออย่างที่เรา ได้กล่าวบอกท่านผู้อ่านกันไว้ตั้งแต่ในตอนต้น
เรื่องเศร้าในชีวิตของหลวงพ่อแล
ในวันหนึ่งได้เกิดเรื่องเศร้าครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของหลวงพ่อแล นั่นก็คือการถูกโจรขึ้นบ้าน และสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดมากก็คือ พวกโจรทำร้ายโยมแม่รวมถึงพี่น้องทุกคนในบ้านจนเสียชีวิตทุกคน ซึ่งในขณะที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโยมพ่อของหลวงพ่อแลท่านได้เสียชีวิตไปก่อนนั้นแล้วด้วยโรคอัมพาต เงินที่นำมา จัดงานศพให้กับทุกคนในครอบครัวของท่านก็คือเงินจากการขายทองคำ ซึ่งเป็นทองคำที่พวกโจรได้ทำหล่นเอาไว้ในบ้าน ที่หลวงพ่อแลท่านเป็นผู้เก็บได้จึงนำไปขายและนำมาจัดงานศพ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีศพหลวงพ่อท่านก็ตัดสินใจออกเดินธุดงค์และศึกษาร่ำเรียนวิชาต่างๆเพิ่มเติม การออกเดินธุดงค์ของท่านเรียกได้ว่าแทบจะทั่วประเทศกันเลยทีเดียว
การศึกษาทางด้านวิชาอาคมทางด้านต่างๆ
โดยหลวงพ่อท่านออกจากจังหวัดเพชรบุรีมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครปฐม จากนั้นท่านก็ได้เริ่มศึกษาวิชาต่างๆจากหลวงพ่อแช่มแห่งวัดตาก้องอันได้แก่ กะลาตาเดียว ราหูอมจันทร์ และเสริมดวง ต่อด้วยการเดินทางไปขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับหลวงพ่อเต๋ คงทอง แห่งวัดสามง่าม เพื่อเรียนวิชาลงนะหน้าทอง กับวิชาผงยาจินดามณี อีกทั้งยังได้เรียนเบี้ยแก้กับหลวงปู่บุญ แห่งวัดกลางบางแก้ว เมื่อสำเร็จการศึกษาในด้านวิชาต่างๆแล้ว ท่านก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดสมุทรสาครเพื่อเรียนกับหลวงปู่รอด แห่งวัดบางน้ำวน ทางด้านวิชาชูชก
ต่อด้วยการฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับหลวงพ่อรุ่งแห่งวัดท่ากระบือสำหรับเรียนวิชาตะกรุดไม้ไผ่ และมุ่งหน้าสู่ฝั่งธน เพื่อเรียนวิชาเบี้ยแก้กับหลวงปู่รอด แห่งวัดนายโรง ที่ตลิ่งชัน จากนั้นก็ได้มาเรียนวิชาตะกรุดพวงกับวิชายันหัวใจปลาตะเพียนมหาราชกับหลวงพ่อจงแห่งวัดหน้าต่างนอก ซึ่งอยู่ที่อำเภอบางไทรของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมื่อสำเร็จวิชาแล้วท่านก็ได้มายังจังหวัดนครสวรรค์เพื่อเรียนวิชาศาสตรามีดหมอกับหลวงพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพ ที่อำเภอตาคลี
และมุ่งหน้าสู่ทางภาคตะวันออกนั่นก็คือจังหวัดชลบุรีเพื่อมาขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับหลวงพ่ออี๋แห่งวัดสัตหีบในจังหวัดชลบุรี จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครหลายคนถึงเล่าขานต่อๆ กันมาว่า แลนั้นท่านมีวิชาอาคมอย่างมากมายหลายวิชา ซึ่งแต่ละวิชาที่ท่านได้สำเร็จมานั้นล้วนแล้วแต่ขึ้นชื่อทางด้านอยู่ยงคงกระพันอย่างมาก และในความเข้มขลังแก่กล้าทางด้านวิชาต่างๆรวมถึงท่านเป็นพระผู้เคร่งครัดต่อธรรมวินัยและการปฏิบัติ
จึงทำให้ผู้คนต่างเลื่อมใสศรัทธาอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่ของชายวัยหนุ่มถึงวัยกลางคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหนุ่มๆชาวเพชรบุรี เมื่อใครได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อแลก็มักจะให้หลวงพ่อท่านสักยันต์ให้ซึ่งสิ่งนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมและขึ้นชื่ออย่างมาก อีกทั้งยังมีคำร่ำลือว่ามีพุทธคุณสูงและมีความเข้มขลังแบบสุดๆ และสิ่งที่หลวงพ่อแลมักจะอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ของท่านก็คือ การทำความดีและมีศีลธรรมประจำตัวอยู่เสมอ
ทั้งชีวิตของหลวงพ่อท่านงั้นเรียกได้ว่าอยู่กับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และศึกษาหาความรู้แทบทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ หลวงพ่อท่านก็ได้มรณภาพลง ในวันที่ 10 เดือนมีนาคม ปีพ.ศ 2551 รวมสิริอายุได้ 93 ปี 75 พรรษา ถึงแม้ว่าหลวงพ่อท่านจะมรณะภาพไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่ลูกศิษย์ลูกหารวมถึงคนรุ่นใหม่ยังคงศรัทธาและระลึกถึงท่านอยู่เสมออย่างมีเสื่อมคลาย
ขอฝากเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของพระเกจิอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสักยันต์หนุมาน “หลวงพ่อแล ทิตัพโพ” วัดพระทรง แห่งเมืองเพชรบุรี ! กันไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอให้คุณโชคดี ร่ำรวยเงินทองและแข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ