เพียงชื่อเรื่องตัวใหญ่ๆทางด้านบนที่เราได้กล่าวถึง ก็น่าจะทำให้แฟนๆพอจะนึกออกกันบ้างแล้วว่า ในวันนี้เราจะมานำเสนอถึงเรื่องราวของพระเครื่องในเรื่องใด และแน่นอนว่าเราจะมาบอกเล่าถึง ประวัติความเป็นมาของ “หลวงพ่อซวง อภโย” แห่ง วัดชีปะขาว เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์ ! ให้คุณได้ทราบ โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคนที่ชื่นชอบในเรื่องของพระเครื่อง รวมถึงผู้ที่เคารพศรัทธาหลวงปู่ซวง อภโย เป็นเดิมอยู่แล้ว และแน่นอนว่าถึงแม้ว่าท่านจะได้มรณภาพลงไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม นอกจากชื่อเสียงอันโด่งดังที่ยังอยู่ เราเชื่อว่าความเลื่อมใสและความศรัทธาก็ยังคงอยู่มิจางหายไปจากลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยมในยุคปัจจุบันเช่นกัน ซึ่งหลวงปู่สรวงนั้นท่านเป็นที่เคารพรักอย่างยิ่งสำหรับชาวจังหวัดสิงห์บุรีรวมถึงชาวไทยทั่วประเทศ ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปพบกับเนื้อหาที่น่าสนใจในครั้งนี้กันเลยดีกว่า !
ประวัติความเป็นมาของ “หลวงพ่อซวง อภโย”
แห่ง วัดชีปะขาว จังหวัดสิงห์บุรี
สำหรับหลวงพ่อซวง อภโย นั้น วันเกิดในช่วงปีพ.ศ 2442 ตรงกับวันที่ 18 เดือนมิถุนายน ชื่อเดิมของท่านคือ ซวง พานิช เดิมทีท่านเป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรีเกิดที่ตำบลพระงามอำเภอพรหมบุรี เป็นลูกของคุณพ่อเฮงกับคุณแม่อ่ำ พานิช ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในขณะที่อายุได้ 26 ปี ซึ่งท่านบวชที่จังหวัดอ่างทองอำเภอไชโยณวัดโบสถ์ วัดแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกับวัดชีปะขาว ซึ่งในขณะนั้นได้มีพระคณาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก นามว่าหลวงพ่อเฟื่อง แห่งวัดสกุณารามหรือในอดีตเรียกกันว่าวัดนก (หลวงพ่อเฟื่องผู้นี้ท่านเป็นผู้สร้างพระพิมพ์สมเด็จ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมากในยุคนั้น และหากใครเอ่ยถึงพระพิมพ์สมเด็จก็มักจะกล่าวถึงวัดนกแห่งนี้อย่างมาก) มาเป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับหลวงพ่อซวงในการบวชของหลวงพ่อซวง ซึ่งฉายาที่หลวงพ่อซวงได้รับทางธรรมก็คือ อภโย
ซึ่งหลังจากที่ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วท่านก็ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดชีปะขาว และอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด อีกครั้งท่านยังเป็นพระอาวาสแห่งวัดชีปะขาวอีกด้วย หลวงพ่อซวงท่านได้ร่ำเรียนทางด้านกรรมฐานแบบเบื้องต้นจากพระอาจารย์ดำแห่งวัดสิงห์ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดสิงห์บุรีตำบลพระงาม ในอำเภอพรหมบุรี และหลวงพ่อท่านเป็นผู้ชื่นชอบการศึกษาหาความรู้เป็นเดิมอยู่แล้วจึงทำให้ท่านฟังใจในการเรียนอย่างมาก และนอกจากนี้ท่านยังได้มีโอกาสร่ำเรียนทางด้านวิชาการสักยันต์บุตรรวมถึงลบและการทำธงพระฉิมด้วยเช่นกัน
และหลังจากร่ำเรียนวิชาจนสำเร็จจนคงแก่ความรู้แล้ว ท่านก็ได้ไปศึกษาทางด้านวิชาอาคมเพิ่มเติมจากหลวงพ่อแป้นแห่งวัดเสาธงใหม่ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในอำเภอบางปะหัน ซึ่งได้รับคำแนะนำมาจากพระอาจารย์ดำที่เป็นพระอาจารย์ของท่านมาก่อนหน้านี้ รวมถึงร่ำเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานเพิ่มยิ่งขึ้นอีกด้วย หลังจากที่ได้รับความรู้และเคร่งครัดต่อการปฏิบัติรวมถึงมีความเชี่ยวชาญต่อการเรียน ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงทำให้หลวงพ่อท่านได้ศึกษาความรู้ทางด้านวิชาอื่นๆอันได้แก่ วิชาการทำยาเปรี้ยวที่ได้เรียนรู้โดยรับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อฤทธิ์แห่งวัดบ้านสวน ซึ่งอยู่ในจังหวัดสุโขทัยที่อำเภอเมืองตำบลบ้านสวน พร้อมกับร่ำเรียนวิชาทำแหวนชินจากหลวงพ่อฤทธิ์ด้วยเช่นกัน
เดิมทีนั้นหลวงพ่อซวงท่านเป็นพระที่ค่อนข้างมีความเคร่งครัดต่อการปฏิบัติ รวมทั้งถือสมถะและไม่ยึดติดในรูปสมบัติ สิ่งของมีค่าใดๆท่านก็ไม่ยึดติด และมุ่งเน้นแต่ในเรื่องของการปฏิบัติ ฉันง่ายและอยู่แบบง่ายๆ อีกทั้งหลวงพ่อซวงท่านจะไม่รับปัจจัยใดๆเป็นการส่วนตัวทั้งสิ้น ซึ่งหากใครมีความประสงค์ต้องการบริจาคท่านก็จะยกให้เป็นสมบัติของสงฆ์ทั้งหมด และนอกจากนี้ท่านยังไม่รับสมณศักดิ์รวมถึงตำแหน่งต่างๆใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเจ้าคณะในจังหวัดสิงห์บุรีในยุคนั้นจะเป็นคนมอบให้ก็ตาม
ซึ่งในขณะนั้นผู้เป็นเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรีคือ พระราชสิงหวรมุนี วัดสังฆราชาวาส และท่านก็ได้ขอน้องให้หลวงพ่อซวงรับตำแหน่งพระวินัยธร จึงทำให้หลวงพ่อซวงก็ได้น้อมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าท่านจะได้รับตำแหน่งพระวินัยธร ท่านก็ยังคงปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเช่นเดิม อีกทั้งยังมีความเคร่งครัดต่อกันวิปัสสนากรรมฐาน จึงทำให้ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาอย่างมากของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยม ท่านเป็นพระผู้มีพลังจิตอันแกร่งกล้าทั้งมีญาณอันบริสุทธิ์
สำหรับบางคนอาจจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อซวง และลูกๆหลานๆในยุคนั้นก็มักจะเรียกท่านว่าหลวงปู่สรวง รวมถึงบางคนก็มักจะเรียกท่านว่าพ่อใหญ่ และด้วยความที่ท่านเป็นพระผู้มีเมตตาเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน ผู้คนจึงต่างมอบสมญานามว่า “เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์” ให้กับท่าน เพราะท่านเป็นที่เคารพศรัทธาอย่างมากของชาวสิงห์บุรี อีกทั้งยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และมักมีความเมตตาและมักชอบช่วยเหลือผู้คนที่มาขอพึ่งพาอยู่เสมอ
ซึ่งหลวงพ่อซวงท่านก็ไม่เคยเลือกชนชั้นวรรณะและปฏิบัติต่อทุกคนเช่นกันอย่างเท่าเทียม หลวงพ่อซวงนั้นท่านเปรียบเสมือนเป็นพ่อของชาวบ้านในแถบนั้น ทั้งแถบวัดชีปะขาวรวมถึงบริเวณใกล้เคียงอื่นๆ ซึ่งหากใครแวะเวียนมาสักการะก็มักจะมาขอให้ท่านพรมน้ำมนต์ให้ และมักขอของดีของศักดิ์สิทธิ์จากท่านอยู่เสมออย่างไม่ขาดสาย นอกจากนี้วัตถุมงคลที่ท่านได้เคยสร้างล้วนแล้วแต่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของดีที่ผู้คนมักจะพกติดตัว อีกทั้งหากใครมีไว้ในบูชาครอบครองก็มักจะหวงแหนกันเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากจำนวนในการสร้างไม่ได้มีมากนัก
เรื่องเล่าหลังจากที่หลวงพ่อซวง อภโย มรณภาพ
หลวงหลวงพ่อซวงมรณภาพในช่วงปีพ.ศ 2510 ในวันที่ 18 เดือนกรกฎาคมรวมศิริอายุได้ 69 ปีและครองพรรษาได้ยาวนานถึง 45 พรรษา ซึ่งก่อนที่ท่านจะมรณภาพลงนั้น หลวงพ่อซวงท่านได้บอกกับคณะกรรมการทางวัดเอาไว้ว่า หากต้องการสร้างโบสถ์หลังใหม่ซึ่งในขณะนั้นกำลังทำการก่อสร้างเอาไว้อยู่แล้ว ก็ขอให้อย่าเพิ่งฌาปนกิจสำคัญของท่าน เพราะบทจะสร้างไม่เสร็จ ซึ่งคณะกรรมการทางวัดก็ได้ทำตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อซวง โดยการเก็บสรีระสังขารของท่านเอาไว้ก่อนที่จะนำมาประกอบพิธีฌาปนกิจ ซึ่งทางคณะกรรมการวัดได้เก็บร่างของท่านเอาไว้ในหีบไม้ และให้ประดิษฐานอยู่ณศาลาการเปรียญที่วัดชีปะขาว
เพื่อที่ชาวบ้านญาติโยมและคณะศิษย์ของหลวงพ่อท่านจะได้สามารถมากราบไหว้ได้ และหลังจากที่บทหลังใหม่ได้ถูกสร้างจนสำเร็จเสร็จสิ้นตามประกาศิตแล้ว ทางคณะกรรมการวัดก็ได้ทำการเปิดหีบไม้ ที่ได้บรรจุร่างของหลวงพ่อซวงเอาไว้ และสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นก็คือ สรีระสังขารของหลวงพ่อซวงนั้นไม่ได้เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาเหมือนบุคคลทั่วไป แต่ก็มีลักษณะที่แห้งและมีความแข็งเหมือนกับหิน ซึ่งสิ่งนี้สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนักให้กับเหล่าบรรดาญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนชาวไทย
วัตถุมงคลของหลวงพ่อซวง อภโย
หากถามถึงทางด้านของวัตถุมงคลต่างๆที่หลวงพ่อซวงท่านได้เคยจัดตั้งเอาไว้ต้องขอบอกเลยว่ามีหลากหลายประเภทอย่างมาก และสำหรับประเภทที่ค่อนข้างขึ้นชื่อของท่านก็น่าจะเป็นประเภทหล่อโบราณเนื้อโลหะ อันได้แก่ เหรียญหล่อรูปเหมือนใบเสมา พระลีลาหรือพระกำแพงเขย่ง พระกลีบบัวเนื้อปรอท สมเด็จหล่อ และรูปหล่อ อีกทั้งยังมีวัตถุมงคลอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นต้องขอบอกเลยว่าหาชมได้ยากมากและหากใครมีไว้ในบูชาก็มักจะหวงแหนตามที่เราได้บอกเอาไว้ตั้งแต่ทางเบื้องต้น อย่างไรก็ตามพวกเราได้นำรูปตัวอย่างมาให้คุณได้ชมกันทางด้านบนเรียบร้อยแล้ว
แล้วกลับมาพบกันใหม่กับบทความในครั้งต่อไปนะคะ สำหรับวันนี้ต้องขอฝากเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของ “หลวงพ่อซวง อภโย” แห่ง วัดชีปะขาว เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์ ! กันไว้แต่เพียงเท่านี้ขอให้คุณโชคดีและสนุกไปกับเนื้อหาที่เราได้นำมาฝากกันค่ะ
