ประวัติความเป็นมาของสุดยอดพระเกจิอาจารย์ แห่งเมืองราชบุรี “หลวงปู่หนู ฉินนะกาโม วัดทุ่งแหลม” 

หากมีใครถามถึงของดีของขลังแห่งเมืองราชบุรีแล้วแล้วก็หลายคนคงจะต้องนึกถึงเหรียญของหลวงปู่หนูวัดทุ่งแหลมขึ้นมากันอย่างแน่นอน ด้วยคำร่ำลือที่ว่าแม้ถูกระเบิดก็ยังไม่ระคายผิว อันนี้เป็นเรื่องจริงหรืออย่างไร ในวันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ ประวัติความเป็นมาของสุดยอดพระเกจิอาจารย์ แห่งเมืองราชบุรี “หลวงปู่หนู ฉินนะกาโม วัดทุ่งแหลม”  ในวันนี้เราจะพาคุณมาทราบถึงประวัติความเป็นมาของหลวงปู่หนูพร้อมกับจะพาคุณมารู้จักกับเหรียญที่โด่งดังนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปพบกับสิ่งที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ก็เลยดีกว่า

ประวัติความเป็นมาของหลวงปู่หนู ฉินนะกาโม 

แห่งวัดทุ่งแหลม จังหวัดราชบุรี

สำหรับความเป็นมาของ พระครูศีลกิตติวัฒน์ ( หนู ฉินฺนกาโม ) หรือที่ลูกศิษย์ลูกค้ามักจะเรียกกันว่าหลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม นั้นเดิมทีท่านมีชื่อว่าหนู เจริญวิทยา ซึ่งหลวงปู่หนูนั้นท่านที่เกิดในช่วงปีพ.ศ. 2438 ตรงกับเดือนธันวาคมแต่ไม่พบข้อมูลสำหรับการระบุวันเกิดของท่าน  ท่านเกิดที่บ้านหนองโพซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอโพธารามในปัจจุบันอยู่ในจังหวัดราชบุรี เมื่อครั้งที่ท่านยังเด็กทานได้มีโอกาสเล่าเรียนหนังสือจนจบชั้นปอสี่ จากโรงเรียนวัดหนองโพซึ่งอยู่ในจังหวัดราชบุรีนั่นเอง หลังจากที่จบชั้นปอสี่ท่านก็ได้บวชเป็นเณรอยู่ที่วัดหนองโพใกล้ๆละแวกนั้น จึงได้มีโอกาสศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรม 

ด้วยความหมั่นเพียรและมีความตั้งอกตั้งใจในการเล่าเรียนจึงทำให้หลวงปู่หนูท่านสำเร็จวิชา จนสอบได้นักธรรมชั้นตรี และนักธรรมชั้นโทในลำดับต่อมา เดิมทีนั้นหลวงปู่หนูท่านมีความสนใจทางด้านพระคาถาและเวทมนต์รวมถึงทางด้านวิทยาคมต่างๆอยู่แล้ว เมื่อได้บวชจึงทำให้ความตั้งใจของท่านสำเร็จจากนั้นก็ได้แสวงหาความรู้ต่างๆต่อมา 

ในช่วงปีพ.ศ. 2458 นั้นหลวงปู่หนูท่านได้มีโอกาสบวชเป็นครั้งแรก และเมื่อมีอายุพอที่จะสามารถบวชได้จึงตัดสินใจเข้าวิดีโอฉันบวชบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ณ วัดใหม่เจริญผล ซึ่งอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีที่อำเภอท่ามะกาซึ่งพระผู้เป็นพระ อุปัชฌาย์ของท่านก็คือหลวงพ่อปลิว แห่งวัดใหม่เจริญผลนั่นเอง 

หลังจากที่ได้บวชท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาทางทำและวิชาความรู้ต่างๆทางด้านวิทยาคมรวมถึงได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนกับหลวงพ่อหลาบ แห่งวัดแสนตอ ซึ่งอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีที่อำเภอท่ามะกาซึ่งเป็นอำเภอเดียวกันกับวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่  เมื่อสำเร็จวิชาก็ได้มีโอกาสมาเล่าเรียนกับหลวงพ่อหลวงหลุง แห่งวัดทุ่งสมอ ซึ่งอยู่ต่างอำเภอไปจากท่ามะกา ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอพนมทวนแต่ยังคงอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี  ซึ่งท่านไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ประมาณ 3 พรรษา จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังอำเภอท่ามะกาแต่ในครั้งนี้ ท่านจำพรรษาอยู่ที่ตำบลตะคร้ำเอนอยู่ที่วัดสำนักคร้อ เป็นเวลาประมาณ 1 พรรษา จากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปยังจังหวัดสุพรรณบุรีเพื่อศึกษาเล่าเรียนวิชากับหลวงพ่อโหน่ง แห่ง วัดคลองมะดัน 

เมื่อร่ำเรียนจนสำเร็จวิชา ก็ได้มีโอกาสไปศึกษาวิชาอื่นๆต่อกับหลวงพ่อจันทร์ แห่งวัดบ้านยาง ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอบ้านโป่งของจังหวัดราชบุรีต่อ จากนั้นก็ได้เดินทางมายังจังหวัดนครปฐมเพื่อร่ำเรียนวิชากับหลวงพ่อแช่ม แห่งวัดตากล้อง ในจังหวัดนครปฐม จากนั้นท่านก็เดินทางกลับมายังจังหวัดกาญจนบุรีและจำพรรษาอยู่ที่วัดสำนักคร้ออีกครั้ง 

หลังจากนั้นถัดมาเป็นระยะเวลาหลายปีเพื่อคณะสงฆ์ได้เล็งเห็นถึงศีลาจารวัตรหนูว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่งจึงได้นิมนต์แต่งตั้งให้หลวงปู่หนูรับตำแหน่งเจ้าอาวาสที่วัดกระต่ายเต้น ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอท่ามะกาของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งหลวงปู่หนูท่านก็ยินดีน้อมรับในการเป็นเจ้าอาวาสแต่ก็เป็นได้ไม่นานเนื่องจากท่านเกิดความเบื่อหน่ายต่อการบริหารจัดการ ลาสิกขาออกมาและใช้ชีวิตอยู่อย่างฆราวาสที่จังหวัดเพชรบุรีอำเภอเขาย้อยแต่ในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นฆราวาสท่านก็ไม่เคยขาดการปฎิบัติและยังคงรักษาศีลอยู่อย่างเสมอ

การบวชครั้งที่สองของหลวงปู่หนู

หลังจากที่ออกมาใช้ชีวิตเป็นฆราวาสอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลวงปู่หนูได้ตัดสินใจบวชอีกครั้ง ซึ่งตรงกับช่วงปี 2502 ในวันที่ 30 เมษายนที่วัดกุฎิบังคิมซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเพชรบุรีที่อำเภอเขาย้อยและได้รับฉายาทั้งถามว่า “ฉินฺนกาโม” ซึ่งในครั้งนี้พระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับท่าน ก็คือพระครูเกษมสุตคุณหรือพระครูชุ่ม และพระผู้เป็นพระอนุสาวรีย์อาจารย์ให้กับทางก็คือพระมหาเปรย ในการบวชครั้งนี้หลวงปู่หนูทันได้ออกเดินธุดงค์และเดินทางไปจำพรรษาที่วัดไทยธรรมาราม ซึ่งอยู่ทางพรรคใต้ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่อำเภอเมือง และจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ประมาณ 5 พรรษา จากนั้นก็ได้กลับมาที่วัดกุฎิบางเค็มไปและจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ประมาณ 1 พรรษา จากนั้นก็ได้เดินทางกลับไปยังจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดสำนักคร้อ ในอำเภอตะคร้าเอน ณ อำเภอท่ามะกา

ถัดมาในช่วงปี 2510 ลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยมผู้มีความเคารพศรัทธาต่อหลวงปู่หนู ก็ได้นิมนต์ให้หลวงปู่หนูกลับมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดทุ่งแหลม ซึ่งเป็นวัดในจังหวัดบ้านเกิดของท่านนั่นก็คือจังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ไม่มีพระจำพรรษาอยู่เลยแต่เมื่อหลวงปู่หนูท่านได้ย้ายมาจำพรรษา ก็ทำให้วัดแห่งนี้ได้เริ่มมีการก่อสร้างขึ้น เนื่องจากเดิมทีนั้นเป็นกุฎิขนาดเล็กที่มีเพียงหญ้าคามุงอยู่เท่านั้น ในเวลาต่อมาหลวงปู่หนูและชาวบ้านก็ได้ช่วยกันสร้างกุฎิขึ้น จากนั้นก็ทำการมุงหลังคากันด้วยสังกะสี กลับมาในช่วงปีพ.ศ. 2529 หลวงปู่หนูท่านก็ได้ละสังขารแซงด้วยไวอันชราและจากไปอย่างสงบ ซึ่งรวมสิริอายุได้ประมาณ 92 ปี และสิ่งที่สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับลูกศิษย์ลูกหาอย่างยิ่งก็คือสรีระสังขารของหลวงปู่หนูนั้นไม่ได้น่าเปื่อยเหมือนบุคคลธรรมดาทั่วไป 

เรื่องเล่าเกี่ยวกับระเบิดและเหรียญของหลวงปู่หนู

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ถูกเล่าต่อๆกันมาซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 2524 เมื่อครั้งที่อาสาสมัครท่านหนึ่งมีชื่อว่านายกู้เกียรตินามสกุลบัวบาน มีสมาชิกในครอบครัวด้วยกันทั้งหมดสี่คนซึ่งประกอบด้วยนายกู้เกียรติและภรรยา รวมทั้งลูกชายอีกสองคน ที่อาศัยอยู่ในอำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรีซึ่งนายกู้เกียรตินั้นมีอาชีพเป็นชาวไร่ชาวสวนรวมทั้งเป็นอาสาสมัครให้กับรัฐบาล จึงมีหน้าที่ในการคุ้มครองหมู่บ้าน จึงทำให้นายกู้เกียรติได้รับแจกอาวุธที่จำเป็นจะต้องไปใช้ในการปกป้องหมู่บ้านซึ่งเป็นหน้าที่ที่นายกู้เกียรติจะต้องทำเพื่อราชการสงครามอาวุธที่ได้รับการแจกมีทั้งปืน รวมถึงระเบิดสังหารเพื่อใช้ในการปฎิบัติหน้าที่ เนื่องจากในช่วงนั้นมีกลุ่มคอมมิวนิสต์ที่ค่อนข้างหลากหลายจึงทำให้หมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นไม่ปลอดภัย

ในวันหนึ่งเมื่อตรงกับวันพระนายกู้เกียรติและภรรยาก็ได้ไปทำบุญที่วัดทุ่งแหลม และได้ปล่อยให้ลูกชายอยู่กันสองคนตามลำพังคอยเฝ้าบ้าน จนกระทั่งถึงช่วงเวลาประมาณ 8 โมงครึ่ง ชาวบ้านที่มาทำบุญต่างพากันได้ยินเสียงระเบิดดังลั่นเนื่องจากวัดกับบ้านของนายกู้เกียรตินั้นอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก หัดมาภายในไม่กี่นาทีก็ได้มีคนขับรถมอเตอร์ไซต์มาแจ้งกับนายกู้เกียรติว่าเกิดเหตุการณ์ระเบิดขึ้นที่บ้านของเขาและเห็นลูกชายของเขาทั้งสองคนกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ จึงทำให้นายก่อเกียรติและภรรยารีบไปดูที่บ้านจากนั้นก็นำลูกลูกของพวกเขาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน แต่เมื่อไปถึงที่โรงพยาบาลหมอกลับไม่กล้ารักษา เพราะกลัวว่าจะยื้อชีวิตของเด็กเอาไว้ไม่ได้เนื่องจากอุปกรณ์เครื่องไม้ในการรักษาไม่พร้อมนัก จึงทำให้ต้องย้ายโรงพยาบาล 

จากนั้นเมื่อคุณหมอได้ทำการล้างแผลเพื่อหาสะเก็ดระเบิด แต่กลับพบว่ามีสะเก็ดระเบิดอยู่น้อยมากที่ติดตามร่างกาย อีกทั้งเด็กเด็กทั้งสองคนยังมีอาการเจ็บปวดเนื่องจากบาดแผลระบบเท่านั้นไม่ได้มีอาการอื่นๆเพิ่มเติมแต่อย่างใดยิ่งสร้างความปลัดใจให้กับคุณหมอและนายกูเกลียดอย่างมากและเมื่อทำการรักษาบาดแผลเสร็จแล้วเด็กก็สามารถกลับบ้านได้ตามปกติราวกับว่าไม่ได้ถูกระเบิดมา 

และเมื่อกลับถึงบ้านนายกู้เกียรติจึงได้ความว่า สาเหตุที่มีการระเบิดเกิดขึ้นเนื่องจากลูกของเขานำระเบิดออกมาแกะเล่น จึงทำให้เกิดความเสียหายและระเบิดขึ้นแต่สิ่งที่น่าปลัดใจก็คือเด็กทั้งสองกลับยังคงมีชีวิตอยู่และได้รับบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงยิ่งทำให้นายกู้เกียรติมีความเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของ เหรียญหลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลมอย่างแน่นอน เนื่องจากลูกชายทั้งสองคนของเค้าได้แขวนเหรียญกันไว้คนละองค์ จากนั้นเรื่องราวนี้ก็เป็นที่ฮือฮาและถูกร่ำลือกันอย่างเสมอมา

แล้วพบกันใหม่ในบทความครั้งต่อไป สำหรับวันนี้ต้องขอลากันไปก่อนค่อยคุณโชคดีและเพลิดเพลินไปกับการอ่านบทความ ประวัติความเป็นมาของสุดยอดพระเกจิอาจารย์ แห่งเมืองราชบุรี “หลวงปู่หนู ฉินนะกาโม วัดทุ่งแหลม”  ในครั้งนี้นะคะ