กลับมาทางเมืองกรุงเก่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยากันบ้างซึ่งในครั้งนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ ประวัติความเป็นมาของสุดยอดพระหมอ “หลวงปู่แฉล้ม ฉันทวัณโณ” แห่งวัดกระโดงทอง เมืองกรุงเก่า ! ซึ่งท่านเป็นอีกหนึ่งพระเกจิอาจารย์ที่เคารพศรัทธาของลูกศิษย์ลูกหาได้พระหมออย่างมาก ซึ่งหลวงปู่ท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมากสำหรับด้านการรักษาและมีความเชี่ยวชาญทางด้านพุทธาคม และในครั้งนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับประวัติคร่าวๆของท่าน ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า
ประวัติของหลวงปู่แฉล้ม ฉันทวัณโณ
แห่งวัดกระโดงทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลวงปู่แฉล้มนั้นท่านมีชื่อเดิมว่าแฉล้ม ไวระตา พ.ศ. 2466 ตรงกับวันอังคารที่ 11 เดือนกันยายน เป็นวันขึ้นสองค่ำเดือน 10 เดิมทีท่านเป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกิดที่ตำบลบ้านโพธิ์อำเภอเสนา คุณพ่อของท่านมีชื่อว่า ไปล่ และคุณแม่ของท่านมีชื่อว่าเหรียญ หลวงปู่แฉล้มท่านมีพี่น้องทั้งหมดห้าคน และท่านเป็นลูกชายคนที่สองของคุณพ่อกับคุณแม่
วัยเด็กของหลวงปู่
ในวัยเด็กหลวงพ่อท่านได้มีโอกาสศึกษาและเรียนหนังสืออยู่ที่วัดกระโดงทอง เดิมทีนั้นท่านมีนิสัยชอบการทำบุญสุนทานมาตั้งแต่เล็ก ในทุกๆปีหลวงปู่ท่านจะได้เดินทางไปยังบริเวณตรงข้ามวัดกระโดงทองกับคุณยายฉัตร รวมถึงเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เคียงกันในละแวกนั้น เหตุผลที่เดินทางไปยังฝั่งตรงข้ามของวัดกระโดงทองเพื่อ ไปช่วยงานในวัดย่านนั้นซึ่งก็คือวัดบางนมโคและวัดบ้านแพน เนื่องด้วยยายฉัตรท่านเป็นพี่น้องกับพระอธิการเล็ก เกสโร (ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อจากหลวงพ่อปาน)
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลวงปู่ท่านขอติดตามคุณยายไปด้วยซึ่งท่านได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อปานแห่งวัดบางนมโคอยู่บ่อยๆ ซึ่งวัดกระโดงทองในสมัยนั้นค่อนข้างมีพระคณาจารย์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่มากมาย และผู้ที่ชาวบ้านแพนเคารพศรัทธามากก็คือพระอาจารย์จำปีมหรือพระอาจารย์ปี จนุทาโภ ซึ่งท่านเป็นพระนักปฏิบัติและมีความเก่งกล้าสามารถทางด้านกถาจนเป็นที่เลื่องลือ ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ที่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรงจากหลวงพ่อปานแห่งวัดบางนมโค และในขณะที่หลวงปู่แฉล้มท่านยังเป็นเด็กนั้นท่านก็ได้พบกับพระอาจารย์ปีอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน เนื่องจากในทุกๆปีท่านจะติดตามยายฉัตรไปที่วัดละแวกนั้นอยู่บ่อยๆ
บวชเป็นสามเณร
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านได้มีโอกาสเดินทางไปทำงานก่อสร้างถนนกับคุณอาของหลวงปู่ ซึ่งไปทำงานอยู่ที่ตำบลบ้านสร้าง อันเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อของหลวงปู่ และหลวงปู่ก็ได้พักอยู่ที่บางปะอินซึ่งเป็นเขตติดต่อกับอำเภอวังน้อย หลังจากที่ทำงานได้ไม่กี่วันหลวงปู่ท่านก็รู้สึกถึงความเบื่อหน่าย ทำให้หลวงปู่ท่านบอกกับคุณอาว่าอยากบวชเป็นเณร เมื่อคุณอาของหลวงปู่ได้ยินจึงถามย้ำว่าอยากบวชจริงหรือเปล่า และคำตอบที่ได้จากหลวงปู่ก็คืออยากบวชจริง ด้วยเหตุผลนั้นจึงทำให้คุณอาของหลวงปู่พาหลวงปู่ไปบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดบ้านสร้าง
ซึ่งในยุคนั้นวัดบ้านสร้างนั้นพระที่เป็นเจ้าอาวาสก็คือหลวงพ่อ พัน หรือพระครูนิเทศธรรมกถา ซึ่งท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงมากในยุคนั้นและมีสมณศักดิ์ที่ค่อนข้างสูง และท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับหลวงปู่แฉล้มขณะที่บวชเป็นสามเณร ที่วัดสร้าง
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านเมื่อท่านได้เห็นพระภิกษุสงฆ์สองรูปที่ออกเดินธุดงค์จึงมีความคิดที่จะติดตามขอออกเดินธุดงค์ด้วยแต่พระสงฆ์ทั้งสองลูกไม่ได้อนุญาตให้หลวงปู่ติดตามไปเนื่องจากไม่มีการน้ำ และกังวลว่าหลวงปู่ท่านจะอดน้ำตาย ซึ่งสรุปในวันนั้นท่านก็ไม่ได้ออกเดินธุดงค์ถึงแม้ว่าจะหากาน้ำได้ แต่โจ้เวลาถัดมามันก็ได้มีโอกาสออกเดินธุดงค์ หลวงปู่ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่ประมาณ 3 พรรษาก่อนจะลาสิคะกลับมาอยู่ที่อำเภอเสนา
การอุปสมบท
เมื่ออายุครบบวชหลวงปู่แฉล้มท่านก็ตัดสินใจเข้าพิธีอุปสมบทอย่างไม่ลังเลนะวัดกระโดงทองซึ่งในครั้งนั้นและผู้เป็นพระอุปประชาให้กับท่านก็คือพระครูวิหารพรหม หรือหลวงพ่อยิ้ม แห่งวัดเจ้าเจ็ดใน และพระผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ให้กับท่านก็คือพระอาจารย์สังวาลย์ แห่งวัดกระโดงทอง ส่วนพระผู้เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ให้กับท่านก็คือพระอาจารย์โล่ แห่งวัดกระโดงทอง เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วท่านก็ตั้งจัยศึกษาทางด้านพระธรรมตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อบวชได้ประมาณ 3 พรรษา ท่านก็จำเป็นต้องลาสิกขาบวชเพื่อออกไปรับใช้ชาติเป็นทหาร รวมถึงหลวงปู่ท่านได้แต่งงานมีครอบครัว
หลังจากเป็นทหารได้ประมาณปีเศษ ก็ถูกปลดประจำการ หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านก็ได้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวและเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีอีกทั้งยังมีบุตร จำนวนสามคน แต่เมื่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้วหลังจากที่ครอบครัวสุขสบายหลวงปู่ท่านก็ปรารถนาที่จะขอกลับมาบวชอีกครั้ง ซึ่งท่านก็ได้บวชเป็นครั้งที่สองจริงๆ ซึ่งการบวชในครั้งนี้หลวงปู่ท่านคิดจะตัดทางโลกและต้องการหลีกพ้นกิเลสตันหา ฉันจึงได้มาบวชอยู่ที่วัดในจังหวัดชัยนาทซึ่งก็คือวัดทรงเสวย เนื่องด้วยวัดแห่งนี้เป็นวัดป่าเงียบสงบและเหมาะแก่การปฎิบัติธรรมอย่างมาก ซึ่งในครั้งนั้นถ้าผู้เป็นพระอุปประชาให้กับท่านก็คือหลวงพ่อย้อยหรือพระครูวิชัยสาธุกิจ ได้รับฉายาทางธรรมว่า “ฉนฺทวณฺโณ”
ได้มีโอกาสเรียนด้านการรักษา
และเมื่อได้บวชอีกครั้งก็ทำให้ท่านได้มีโอกาสศึกษาวิชาหุงน้ำมันกลับหลวงพ่อย้อย (ซึ่งท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคล้อยผู้มีชื่อเสียงและเป็นสหทำมิกซ์กับหลวงปู่ศุข) นอกจากท่านจะได้มีโอกาสร่ำเรียนวิชาหุงน้ำมันกับหลวงพ่อย้อยแล้วท่านยังได้มีโอกาสเรียนกับฆราวาสที่มีชื่อว่าตัดกลับที่อยู่ในอำเภอดอนตาล สำหรับฆราวาสท่านนี้ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นหมอที่มีความชำนาญทางด้านการต่อกระดูกอย่างมาก ซึ่งท่านจะรักษาโรคโดยการใช้น้ำมนต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากรวมไปถึงการใช้ยาสมุนไพร อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวทมนต์พระคาถาของหลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกด้วย
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านได้เคยเล่าให้ลูกศิษย์ลูกค้าฟังว่า หากมีใครกระดูกหักไปหาหมอผู้นี้ท่านก็จะรักษาโดยการใช้เพียงน้ำมนต์วิเศษ จากนั้นความเจ็บปวดก็จะหายไป และกระดูกที่หักนั้นก็จะสามารถกลับมาประสานกันอย่างเข้าที่ได้ดังเดิมในระยะเวลาไม่นาน และหมอพรุ่งนี้ชื่อว่าหมอเหรียญ หลังจากที่ได้ทราบถึงกิตติศัพท์ของหมอแล้ว หลวงปู่ท่านก็ได้ขอไปเรียนวิชากับหมอเหรียญ ซึ่งท่านก็ได้เรียนทั้งวิชาทำยาสมุนไพรและวิชารักษาโรคกระดูกรวมไปถึงตำราสายตำราวิชาของหลวงปู่ศุขและเวทมนต์คาถาต่างๆจนสำเร็จ และได้นำวิชาความรู้ที่ท่านเล่าเรียนมาทั้งหมดมารักษาให้กับผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย ไปพร้อมๆกับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
และด้วยความมีเมตตาทำสูง พร้อมกับความมีใจบุญสุนทานชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก จึงทำให้ญาติโยมเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาในหลวงพ่อแฉล้มอย่างมาก และนี่คือจุดเริ่มต้นของการรักษา ไม่เพียงแต่ท่านจะชื่นชอบทางด้านรักษาโรคเท่านั้นเพราะในยามว่างหลวงปู่ท่านยังเป็นคนไฟเรียนไฟรู้และชอบอ่านหนังสือโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหนังสือเกี่ยวกับโรคลี้ลับและโลกทิพย์เนื่องจากหลวงปู่ท่านเคยบอกว่าหนังสือเหล่านี้มักมีแง่คิดที่ดีในทางธรรมะอยู่มากมาย
แล้วกลับมาพบกับพวกเราได้ใหม่ในบทความครั้งต่อไป สำหรับวันนี้ต้องขออนุญาตลากันไปแต่เพียงเท่านี้คุณโชคดี และหวังว่าท่านจะเพลิดเพลินไปกับบทความ ประวัติความเป็นมาของสุดยอดพระหมอ “หลวงปู่แฉล้ม ฉันทวัณโณ” แห่งวัดกระโดงทอง เมืองกรุงเก่า ! ที่เราได้นำมาฝากกันในครั้งนี้ค่ะ